อัลกุรอานแหล่งที่มาแห่งการสร้างเอกภาพ
  • 23 กุมภาพันธ์ 2018 at 08:47
  • 3121
  • 0

 

อัลกุรอานแหล่งที่มาแห่งการสร้างเอกภาพ

 

โดย ปริญญา ประหย้ดทรัพย์

 

ท่านพี่น้องมุสลิมทั้งหลายพึงเกรงกลัวอัลเลาะฮฺเถิด เพราะการยำเกรงต่อพระองค์นั้น คือ ทางรอดแห่งชีวิตทั้งในโลกนี้และโลกหน้า พี่น้องที่เคารพ คำว่า “เอกภาพ” คือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความสามัคคี ความร่วมมือกัน ความสัมพันธ์โดยแนบสนิท ท่านบรมศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) พยายามที่จะให้มวลผู้ศรัทธาทั้งหลายได้ยึดมั่นสิ่งเหล่านี้ คุณลักษณะความเป็นเอกภาพ ความชนะใจคนนั้นมีอยู่ในตัวของท่านศาสดาตลอดเวลา

ย้อนอดีตในปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 8 ในขณะที่กองทัพอันเกรียงไกรของท่านศาสดานำทัพออกจากมหานครมาดีนะฮฺเพื่อยึดนครมักกะฮฺแดนมาตุภูมิ เมื่อกองทัพได้รายล้อมรอบนครมักกะฮฺนั้นชาวมักกะฮฺคิดว่าคราวนี้ท่านศาสดา (ซ.ล.) จะใช้หนี้แค้นที่ครั้งหนึ่งถูกขับไล่ไสส่งออกจากนครมักกะฮฺ ด้วยแสนยานุภาพของกองทัพอันมหึมาของท่านศาสดา (ซ.ล.) เกินกว่ากำลังชาวมักกะฮฺจะทัดทานต้านได้ ในที่สุดท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้ให้คนประกาศว่า “ชาวมักกะฮฺผู้ใดเข้ามาในมัสยิดฮารอมจะปลอดภัย ผู้ใดเข้าบ้านอบูซุฟยานจะไม่ปลอดภัย" ชาวมักกะฮฺด้วยความหวาดหวั่นต่างพากันเข้ามัสยิดฮะรอมแน่นขนัด เมื่อไปถึงที่นั่นกำลังของท่านคือชายฉกรรจ์ถืออาวุธที่พร้อมจะสังหารคู่อาฆาตเก่าให้ถึงแก่ความตายได้ในเวลาอันสั้น แต่ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้กำชับสั่งการเด็ดขาด ห้ามไม่ให้อาวุธของเราได้สัมผัสเลือดเนื้อร่างกายของชาวมักกะฮฺจนกว่าเขาจะทำร้ายเราก่อน เราจะไม่หยิบยื่นความเจ็บปวด การแก้แค้นทำลายเขาเหล่านั้น ทั้งที่เราเคยเลือดตกยางออก และออกจากนครมักกะฮฺด้วยความสูญเสีย ความรันทดอันประเมินค่าไม่ได้ 

พี่น้องที่เคารพทั้งหลาย การให้อภัยของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) นั้นเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ท่านหยิบยื่นความเมตตาให้ชาวมักกะฮฺ สลัดความอาฆาตพยาบาททิ้งไป ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สามารถโน้มน้าวจิตใจชาวมักกะฮฺให้สนใจเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามด้วยหัวใจที่ซาบซึ้งในเจตนารมณ์แห่งคำสอนอันบริสุทธิ์ของอัลอิสลามที่มิได้ขึ้นอยู่กับการสั่งสอนในภาคทฤษฎีเท่านั้น แต่ได้แฝงฝังอยู่ในคราบบริบูรณ์สูงสุดในภาคปฏิบัติและด้วยตัวอย่างที่สามารถสัมผัสในชีวิตจริงได้

หลังจากนั้นธงของอิสลามได้ถูกยกให้สูงขึ้น ลัทธิการบูชานอกเหนือจากอัลเลาะฮฺได้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น กระทั่งในปีที่ 9 แห่งฮิจเราฮฺศักราช รัศมีแห่งอัลอิสลามได้เจิดจรัสทั่วคาบสมุทรอาหรับ นักประวัติศาสตร์ได้ขนานนามปีนี้ว่า “ปีแห่งหมู่คณะ” ทั้งนี้เนื่องจากคลื่นมหาชนจากคาบสมุทรอาหรับได้หลั่งไหลเข้าสู่นครมาดีนะฮฺ พร้อมประกาศเข้ารับศาสนาของอัลเลาะฮฺเป็นหมู่คณะด้วยความสมัครใจนั่นเองเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้อัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) ทรงดำรัสไว้ในพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอานว่า 

إذاجاءنصرالله والفتح ورأيت الناس يدخلون فى دين الله أفواجا فسبّح بهمدربّك واستغفر إنه كان توّابا 

ความว่า : เมื่อความช่วยเหลือแห่งอัลเลาะฮฺ และการพิชิตได้มาปรากฏแล้ว และเจ้าได้เห็นมวลมนุษย์ พากันเข้ามาสู่ศาสนาของอัลเลาะฮฺเป็นกลุ่ม ๆ ดังนั้นเจ้าจงสดุดีพระบริสุทธิคุณ พร้อม ด้วยการสรรเสริญองค์อภิบาลของเจ้าเถิด และจงขออภัยต่อพระองค์เพราะแท้จริงพระองค์ทรงรับการสารภาพโทษยิ่ง 
(ซูเราะฮฺ อัน-นัศรฺ : 1-3) 

หลังจากภารกิจการเผยแพร่ศาส์นอิสลาม ได้เสร็จสมบูรณ์ การสร้างสังคมใหม่บนพื้นฐานของการศรัทธาในพระผู้อภิบาล แห่งสากลจักรวาล และเจตนารมณ์ของบรมศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้ดำเนินไปอย่างครบถ้วน ท่านศาสดา (ซ.ล.) เริ่มมีสิ่งบอกเหตุว่าตัวเองได้เข้ามาถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว ท่านจึงได้กล่าวแก่มุอ๊าซ บิน ญะบัล ในวันที่ท่านส่งตัวเขาไปยังเมืองยะมันว่า “โอ้มูอ๊าซเอ๋ย ! หลังจากปีนี้แล้ว เป็นไปได้ว่า ท่านอาจไม่มีโอกาสพบฉันอีกแล้ว และบางทีท่านอาจเดินผ่านเข้ามัสยิดของฉัน และพบสุสานของฉัน”

เมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ท่านมูอ๊าซก็ร้องไห้อันเนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้พบบุคคลผู้เป็นสุดที่รักเหนือชีวิต และแล้วสิ่งบอกเหตุของท่านศาสดา (ซ.ล.) ก็เป็นจริง เพราะท่านได้กลับคืนสู่ความเมตตาของอัลเลาะฮฺในปี ฮ.ศ. ที่ 11 ในขณะที่มูอ๊าซกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ในเมืองยะมัน 

พี่น้องผู้รักเอกภาพทั้งหลาย มุสลิมทุกคนนั้นเป็นพี่น้องกันซึ่งจะต้องมีความรักต่อกัน แต่ในบางครั้งเนื่องจากเราอยู่กันหมู่มาก อาจจะมีความคิดเห็นขัดแย้งกันก็ตาม แต่จงเอาความดีเข้าผูกพันก่อนที่จะมีสิ่งอื่นแทรงแซงเข้ามาทำให้เราเสียเอกภาพ ฉนั้นท่านทั้งหลายจงเกรงกลัวอัลเลาะฮฺในเรื่องที่จะไม่มีเอกภาพเถิด เพราะแท้ที่จริงผู้ใดก็ตามที่ทำลายเอกภาพ ผู้นั้นจะไม่ได้รับความเมตตาจากอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัว น่าหวั่นอย่างยิ่ง ใครจะทำอะไรก็ตามในเมื่อคนนั้นถูกขับออกจากแดนกรุนา ความเมตตาของอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) แล้วจะมีอะไรดีอีกหรือสำหรับบุคคลนั้น 

เมื่อเป็นอย่างนี้ความเป็นเอกภาพ ความมีภราดรภาพ ความเป็นญาตินี้ได้ถูกกำหนดอย่างสูงในอิสลามที่บุคคลต้องสำนึกอยู่ตลอดเวลามิฉนั้นผู้ที่ขาดคุณสมบัติในเรื่องนี้ เขาจะสูญเสียศักดิ์ศรีในความเป็นมุสลิม เป็นมุอฺมินอย่างสมบูรณ์โดยแน่นอน  ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้ว่า : เล่าโดย นัวะมาน บุตรของท่านบะซีร ว่า “ท่านนบี (ซ.ล.) กล่าวว่า : อุปมาอุปไมยแก่มวลศรัทธาชนในอันที่จะต้องมีความรักต่อกัน มีความเมตตาต่อกัน มีความอ่อนโยนต่อกัน มีความสัมพันธ์ต่อกัน มีความเกื้อกูลกันนั้นดุจดั่งเรือนร่างเดียวกัน เมื่ออวัยวะหนึ่งอวัยวะใดเกิดเจ็บป่วยย่อมแผ่ความเจ็บปวดกระจายไปทั้งร่างให้นอนไม่หลับ (รายงานโดยบุคคอรี – มุสลิม) 

ท่านพี่น้องที่เคารพทุกท่าน อัลกุรอานสอนให้เราทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคมบนโลกใบนี้อย่างสันติสุข มีความสมานฉันท์ มีเอกภาพต่อกัน ดังอัลกุรอานได้ระบุไว้ในซูเราะฮฺ อาลิอิมรอน โองการที่ 102,103,104 
ความว่า : โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺอย่างจริงใจ และพวกเจ้าจงดำรงมั่นอยู่ในศาสนาอิสลามจนกว่าจะตาย 
:พวกเจ้าทั้งหลายจงยึดมั่นในแนวศาสนาของอัลเลาะฮฺเถิดและจงอย่าแตกแยกกัน 
:และพวกเจ้าแต่บางส่วนจงเป็นคณะชนที่ชักชวนไปสู่ศาสนาอิสลามใช้ให้กระทำดี และห้ามปรามจากความชั่วพวกเหล่านั้นแหละคือพวกที่มีชัย 

โองการพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานข้างต้นนี้กำชับให้สมัครสมานสามัคคี ให้มีเอกภาด และให้มีผู้ที่คอยตักเตือน ให้กระทำแต่ความดี และห้ามปรามมิให้กระทำชั่ว เมื่อท่านทั้งหลายรู้หน้าที่ของตน และปฏิบัติตามโดยถือตามเนื้อหาของอัลกุรอานที่กล่าวมาแล้ว สังคมก็จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน